เลือกแพคเกจอย่างไร
ข้อแนะนำในการเลือกแพคเกจโทรศัพท์สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ
อันดับแรก คือ ต้องทราบวัตถุประสงค์หลักในการใช้งานโทรศัพท์มือถือในต่างประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 4 วัตถุประสงค์ ดังนี้
1. อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (internet/mobile data) รวมถึงการโทรติดต่อกันผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น Line, Facetime, Skype เป็นต้น
2. โทรกลับเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการโทรเข้าเบอร์โทรศัพท์บ้าน หรือโทรเข้าโทรศัพท์มือถือโดยตรง
3. โทรหากันเองในกลุ่มที่เดินทางด้วยกัน
4. โทรหาเบอร์อื่นๆ ในประเทศปลายทางนั้นๆ เช่น โรงแรม, ผู้ให้บริการรถเช่า, เพื่อน/ญาติที่อาศัยในประเทศนั้นๆ, บริษัทที่ต้องการติดต่อธุรกิจ เป็นต้น
เมื่อระบุวัตถุประสงค์ในการใช้งานได้ชัดเจนแล้ว อันดับถัดไปที่ต้องพิจารณา คือ ปริมาณการใช้งานที่ต้องการสำหรับการใช้บริการแต่ละประเภท เพื่อจะได้เลือกแพคเกจได้อย่างเหมาะสม และตรวจสอบค่าบริการประเภทนั้นๆให้ถี่ถ้วน ว่ารวมอยู่ในแพคเกจที่เลือกหรือไม่ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไร
ปริมาณอินเตอร์เน็ต
หลายท่านนิยมซื้อแพคเกจอินเตอร์เน็ตไม่จำกัด (Unlimited Data) ซึ่งในบางประเทศไม่มีจำหน่าย และจากประสบการณ์จริงของลูกค้าส่วนใหญ่ ที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือไม่เกิน 7-10 วัน จะใช้งานไม่เกิน 3 GB ยกเว้นกรณีใช้งานกับแท็บเล็ต (Tablet) หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ดังนั้นหากท่านสามารถประเมินปริมาณอินเตอร์เน็ตที่ท่านต้องการใช้งานได้แล้ว ก็จะช่วยให้ท่านไม่ต้องจ่ายเงินมากเกินความจำเป็น
ข้อแนะนำในการประเมินปริมาณอินเตอร์เน็ตที่ท่านต้องการใช้งาน
1. ตรวจสอบปริมาณอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือที่ท่านใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่ง smartphone ส่วนใหญ่มีระบบที่แสดงปริมาณการใช้งานนี้อยู่ในเมนู Settings สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ iOS ดูวิธีได้ ที่นี่ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ Android ดูวิธีได้ ที่นี่ วิธีนี้จะช่วยให้ท่านคำนวณได้โดยประมาณว่าท่านใช้อินเตอร์เน็ตต่อวันเป็นจำนวนเท่าไร ตัวอย่างเช่น ท่านใช้งานอินเตอร์เน็ตเฉลี่ย 150 MB ต่อวัน และเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลา 10 วัน ปริมาณอินเตอร์เน็ตที่ต้องการใช้งานทั้งหมดคือ 150 MB x 10 วัน = 1,500 MB หรือ 1.5 GB โดยประมาณ
2. ตรวจสอบจากปริมาณอินเตอร์เน็ตเฉลี่ยที่ใช้แต่ละประเภทการใช้งาน ดังต่อไปนี้ (อ้างอิงจาก Carphone Warehouse UK)
การโทรกลับเมืองไทย
โดยส่วนใหญ่บริษัทชั้นนำที่เป็นเจ้าของเครือข่ายเอง หรือที่เรียกว่า MNO (กรณีในไทย คือ AIS, Truemove H, Dtac, TOT) จะกำหนดค่าบริการโทรศัพท์ไปต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่ค่อนข้างแพง ในทางกลับกัน บริษัทที่ไปเช่าเครือข่ายจากผู้อื่นเพื่อให้บริการส่วนใหญ่ หรือที่เรียกว่า MVNO จะมีจุดเด่นในข้อนี้ คือ ค่าบริการโทรกลับเมืองไทยที่ประหยัดกว่า MVNO บางรายอาจมีข้อเสนอที่ถูกกว่าค่าบริการ Voip อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐอเมริกา Ultra Mobile มีแพคเกจโทรกลับไทยได้ไม่จำกัดจำนวนนาที หรืออย่าง Lebara ที่อังกฤษ สามารถโทรกลับไทยได้ นาทีละ £0.01 เมื่อซื้อร่วมกับแพคเกจที่กำหนด ขณะที่ Voip มีค่าบริการโดยเฉลี่ยอยู่ที่ นาทีละ £0.02 ยิ่งไปกว่านั้นแพคเกจของ MVNO บางราย อาจรวมค่าโทรไปต่างประเทศไว้ในแพคเกจ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Lebara ใน UK, Ortel ในเยอรมนี และ Ultramobile ในสหรัฐอเมริกา
ตัวอย่างของ MNO และ MVNO ในต่างประเทศ
ประเทศ | MNO | MVNO |
อังกฤษ (UK) | Three, O2, EE, Vodafone | Giffgaff, Vectone mobile, Lycamobile, Lebara |
สหรัฐอเมริกา (USA) | AT&T, T-mobile, Verizon, Sprint | Red Pocket, Ultra Mobile, Straight talk |
เยอรมนี (Germany) | T-mobile, Vodafone, O2, E-plus | Ortel, Lebara, Lycamobile, Blauworld |
กรณีเน้นโทรติดต่อกันเองในกลุ่ม
ผู้ให้บริการในบางประเทศ จะมีโปรโมชัน โทรหากันเองในกลุ่มฟรี เช่น UK เป็นต้น หรือในราคาที่ถูกกว่า โดยจะมีเงื่อนไขการให้บริการที่แตกต่างกันไป